โปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบ

โปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบป้ายโฆษณา

สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ โปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ (Vector Graphic Design Software) และโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซล (Pixel Graphic Design Software)

โปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์

โปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ เหมาะสำหรับการออกแบบป้ายโฆษณาที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ต้องนำไปพิมพ์ขนาดใหญ่ โปรแกรมประเภทนี้จะใช้จุดและเส้นโค้งในการสร้างรูปทรง ทำให้สามารถย่อขยายขนาดของงานออกแบบได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ

ตัวอย่างโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ ได้แก่

  • Adobe Illustrator เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น
  • CorelDRAW เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Adobe Illustrator เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น
  • Inkscape เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์โอเพนซอร์ส เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น

โปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซล

โปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซล เหมาะสำหรับการออกแบบป้ายโฆษณาที่ต้องการความคมชัดสูง เช่น ป้ายโฆษณาขนาดเล็กที่ต้องนำไปพิมพ์ขนาดเล็ก โปรแกรมประเภทนี้จะใช้พิกเซลในการสร้างรูปทรง ทำให้สามารถปรับแต่งรายละเอียดของภาพได้อย่างละเอียด

ตัวอย่างโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซล ได้แก่

  • Adobe Photoshop เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น รูปภาพ โปสเตอร์ แบนเนอร์ เป็นต้น
  • GIMP เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซลโอเพนซอร์ส เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น รูปภาพ โปสเตอร์ แบนเนอร์ เป็นต้น
  • Paint.NET เป็นโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบพิกเซลฟรีแวร์ เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกง่ายๆ เช่น รูปภาพ โปสเตอร์ แบนเนอร์ เป็นต้น

โปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์

นอกจากโปรแกรมออกแบบกราฟิกแบบดั้งเดิมแล้ว ในปัจจุบันยังมีโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์ที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ไม่ต้องการดาวน์โหลดโปรแกรมลงเครื่องคอมพิวเตอร์

ตัวอย่างโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์ ได้แก่

  • Canva เป็นโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น
  • Adobe Express เป็นโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์จาก Adobe เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น
  • VistaCreate เป็นโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาออนไลน์ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย เหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ ป้ายโฆษณา นามบัตร โบรชัวร์ เป็นต้น
    การเลือกโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณา

การเลือกโปรแกรมออกแบบป้ายโฆษณาที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ประเภทของป้ายโฆษณาที่ต้องการออกแบบ
  • ความซับซ้อนของการออกแบบ
  • ทักษะการออกแบบของผู้ใช้งาน
  • งบประมาณ

โดยผู้ใช้งานควรทดลองใช้งานโปรแกรมต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าโปรแกรมนั้นๆ มีคุณสมบัติและการใช้งานที่ตรงกับความต้องการ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกฏหมายป้ายโฆษณา

กฎหมายป้ายโฆษณา

กฎหมายป้ายโฆษณา

หมายถึง กฎหมายที่ควบคุมการติดตั้งป้ายโฆษณาในเขตพื้นที่สาธารณะหรือสถานที่ส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงามของทัศนียภาพ และสิ่งแวดล้อม

กฎหมายป้ายโฆษณาในประเทศไทย กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

ประเภทของป้ายโฆษณา

ป้ายโฆษณาสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของป้ายและสถานที่ติดตั้งได้ดังนี้

  • ป้ายบนอาคาร เป็นป้ายที่ติดตั้งบนอาคารหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่น ป้ายโฆษณาบนหลังคา ป้ายโฆษณาบนผนังอาคาร ป้ายโฆษณาบนเสาไฟฟ้า เป็นต้น
  • ป้ายบนเสา เป็นป้ายที่ติดตั้งบนเสาตั้งอิสระ เช่น ป้ายโฆษณาริมถนน ป้ายโฆษณาหน้าอาคาร เป็นต้น
  • ป้ายบนพื้น เป็นป้ายที่ติดตั้งบนพื้นดิน เช่น ป้ายโฆษณาริมถนน ป้ายโฆษณาหน้าอาคาร เป็นต้น
  • ป้ายโฆษณาเคลื่อนที่ เป็นป้ายที่ติดตั้งบนยานพาหนะหรือสิ่งเคลื่อนที่ เช่น ป้ายโฆษณาบนรถบรรทุก ป้ายโฆษณาบนเรือ เป็นต้น

หลักเกณฑ์ในการติดตั้งป้ายโฆษณา

การติดตั้งป้ายโฆษณาจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายป้ายโฆษณา ดังนี้

  • ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก่อนที่จะดำเนินการติดตั้งป้ายโฆษณา
  • ต้องเป็นไปตามขนาดและน้ำหนักที่กำหนด โดยป้ายบนอาคารต้องมีขนาดไม่เกิน 100 ตารางเมตร และป้ายบนพื้นดินต้องมีขนาดไม่เกิน 50 ตารางเมตร
  • ต้องมีความสูงเหมาะสม โดยป้ายบนอาคารต้องมีความสูงไม่เกิน 6 เมตร และป้ายบนพื้นดินต้องมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร
  • ต้องไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย โดยป้ายต้องมีความแข็งแรงและมั่นคง และวัสดุที่ใช้ต้องไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน
  • ต้องไม่บดบังทัศนียภาพ โดยป้ายต้องไม่บดบังทัศนียภาพหรือสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ
  • ต้องไม่เป็นการรบกวนการจราจร โดยป้ายต้องไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่

บทลงโทษ

ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายป้ายโฆษณา มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

ตัวอย่างกรณีการติดตั้งป้ายโฆษณาที่ผิดกฎหมาย

  • ติดตั้งป้ายโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
  • ติดตั้งป้ายโฆษณาที่มีขนาดเกินกว่าที่กำหนด
  • ติดตั้งป้ายโฆษณาที่มีความสูงไม่เหมาะสม
  • ติดตั้งป้ายโฆษณาที่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย
  • ติดตั้งป้ายโฆษณาที่บดบังทัศนียภาพ
  • ติดตั้งป้ายโฆษณาที่รบกวนการจราจร

สรุป

กฎหมายป้ายโฆษณาเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงามของทัศนียภาพ และสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ประสงค์จะติดตั้งป้ายโฆษณาจะต้องศึกษากฎหมายป้ายโฆษณาอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายและได้รับโทษตามกฎหมาย

ป้ายไวนิลทำมาจากอะไร?

ป้ายไวนิล ทำมาจากพลาสติกชนิดพิเศษที่เรียกว่า โพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl chloride) หรือ PVC ประกอบไปด้วยส่วนผสมของพลาสติกคุณภาพสูงและสารเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ เช่น สารเพิ่มความทนทานต่อแสงแดด สารเพิ่มความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทก สารเพิ่มความทนทานต่อสภาวะอากาศ และสารเพิ่มความทนทานความร้อน

ป้ายไวนิลมี 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • ไวนิลแบบทึบแสง (Opaque vinyl) เป็นไวนิลที่มีพื้นผิวเรียบและทึบแสง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความคมชัดของสี เช่น ป้ายโฆษณา ป้ายไวนิลติดผนัง เป็นต้น
  • ไวนิลแบบโปร่งแสง (Transparent vinyl) เป็นไวนิลที่มีพื้นผิวเรียบและโปร่งแสง เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการการมองเห็นผ่านป้าย เช่น ป้ายโฆษณาบนกระจก ป้ายไวนิลติดรถยนต์ เป็นต้น

ป้ายไวนิลมีข้อดีหลายประการ เช่น ทนทานต่อแสงแดด ทนทานต่อสภาพอากาศ ทนทานต่อแรงกระแทก ไม่ติดไฟ และทำความสะอาดง่าย จึงนิยมนำมาใช้ทำป้ายโฆษณาต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณาบนอาคาร ป้ายโฆษณาบนเสา ป้ายโฆษณาบนพื้น เป็นต้น

คุณสมบัติของป้ายไวนิล

  • ทนทานต่อแสงแดด ป้ายไวนิลสามารถทนต่อรังสียูวีจากแสงแดดได้เป็นเวลานาน ทำให้สีสันของป้ายไม่ซีดจาง
  • ทนทานต่อสภาพอากาศ ป้ายไวนิลสามารถทนต่อสภาพอากาศต่างๆ เช่น ฝน ลม ความร้อน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทนทานต่อแรงกระแทก ป้ายไวนิลมีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงกระแทกได้ดี จึงไม่เป็นรอยได้ง่าย
  • ไม่ติดไฟ ป้ายไวนิลไม่ติดไฟ จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้
  • ทำความสะอาดง่าย ป้ายไวนิลสามารถทำความสะอาดได้ง่ายด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำสบู่
  • น้ำหนักเบา ป้ายไวนิลมีน้ำหนักเบา ทำให้สะดวกในการขนส่งและติดตั้ง
  • ราคาไม่แพง ป้ายไวนิลมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับวัสดุอื่นๆ
  • มีให้เลือกหลากหลายสีสัน ป้ายไวนิลมีให้เลือกหลากหลายสีสัน เพื่อให้เหมาะกับความต้องการใช้งาน
  • สามารถพิมพ์งานได้หลากหลายรูปแบบ ป้ายไวนิลสามารถพิมพ์งานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น งานพิมพ์ดิจิตอล งานพิมพ์ออฟเซ็ท เป็นต้น

การใช้ป้ายไวนิล

ป้ายไวนิลสามารถใช้ทำป้ายโฆษณาได้หลากหลายประเภท เช่น

  • ป้ายโฆษณาบนอาคาร เป็นป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนอาคารหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่น ป้ายโฆษณาบนหลังคา ป้ายโฆษณาบนผนังอาคาร ป้ายโฆษณาบนเสาไฟฟ้า เป็นต้น
  • ป้ายโฆษณาบนเสา เป็นป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนเสาตั้งอิสระ เช่น ป้ายโฆษณาริมถนน ป้ายโฆษณาหน้าอาคาร เป็นต้น
  • ป้ายโฆษณาบนพื้น เป็นป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนพื้นดิน เช่น ป้ายโฆษณาริมถนน ป้ายโฆษณาหน้าอาคาร เป็นต้น
  • ป้ายโฆษณาเคลื่อนที่ เป็นป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนยานพาหนะหรือสิ่งเคลื่อนที่ เช่น ป้ายโฆษณาบนรถบรรทุก ป้ายโฆษณาบนเรือ เป็นต้น

นอกจากนี้ ป้ายไวนิลยังสามารถใช้ทำป้ายอื่นๆ ได้อีก เช่น ป้ายชื่อบริษัท ป้ายชื่อสินค้า ป้ายกำกับสินค้า เป็นต้น

เลือกฟ้อนที่ชอบ

ฟอนต์ (ตัวอักษร) ถือเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารในทุกรูปแบบในยุคปัจจุบัน เพราะตัวหนังสือเป็นการถ่ายโอนข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งในปัจจุบัน มีสื่อมากมายที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล และสำหรับสื่อบันเทิง และสื่อความรู้ต่างๆ ตัวหนังสือ หรือการจัดวางนั้น จึงสำคัญต่อการทำงานด้านนี้เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเป็นการจัดวาง หรือใช้ประเภทตัวอักษรในรูปแบบผิดและไม่หเหมาะสม ก็จะทำให้การสื่อสารผิดพลาดและดูไม่น่าอ่านไปเลย ดังนั้น งานออกแบบต่างๆ ไม่ว่าเป็น นิตยสาร บทความ หรือป้ายโฆษณา จึงให้ตวามสำคัญกับการเลือกฟอนต์ เป็นอย่างมาก นอกจากจะมีความน่าอ่าน อ่านง่าย ยังต้องสวยงามอีกด้วย

มาทำความรู้จักกับประเภทของ “ฟอนต์ Font”

ประเภทที่ 1 Serif

เป็นฟอนต์ที่มีฐาน ซึ่งแบรนด์ต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น นิตยสาร หนังสือแฟชัน เป็นฟอนต์ที่อ่านแล้วสบายตา และสามารถโฟกัสได้ง่าย เป็นฟอนต์ที่มีเชิง หรือฐาน คือเส้นที่ขีดอยู่บริเวณหลายฟอนต์ หรืออาจะเรียกฟอนตืประเภทนี้ว่า ฟอนต์โรมัน (Roman) มีต้นกำเนิดจากการจารึกข้อความบนหินในอาณาจักรโรมัน 

นอกจากนัน้ ฟอนต์ Serif ยังสามารถสื่อถึงความรู้สึกได้อีกด้วย เหมาะสมสำหรับบางงานดีไซน์ และการสื่อนั้น สื่อไปถึง

  • ความเชื่อใจ
  • ความน่านับถือ
  • ความมีอำนาจ
  • ความเป็นทางการ

ฟอนต์ประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจแบรนดัง แบบดั้งเดิมอย่างมาก เช่น ธุรกิจการเงิน กฏหมาย หรือ ธุรกิจประกัน

 

ประเภทที่ 2 Sane Serif

Sane Serif คือฟอนต์ที่ไม่มีเชิง และไม่มีฐาน ฟอนต์ประเภทนี้อาจจะถูกเรียกว่า ฟอนต์กอทิก (Gothic) เป็นฟอนต์ที่เหมาะสมกับการใช้ พาดหัวเรื่อง เพื่อการเน้น ให้ข้อความโดดเด่น คำว่า Sane มาจากภาษาฝรั่งเศษ ซึ่งหมายความว่า without แปลว่า ปราศจาก เป็นฟอนต์ที่มองง่าย ดูสะอาด มีความกว้างเท่ากัน ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้เป็นเนื้อหาข้อความ

ฟอนต์ Sane Serif สามารถนำไปสู่การสื่อสารถึงความรู้สึกบางอย่างได้ เช่น 

  • ความน่าเชื่อถือ
  • ความซับซ้อน
  • เน้นเทคโนโลยี
  • ความล้ำสมัย

ฟอนต์ Sane Serifเหมาะกับงานดีไซน์ ที่ดูทันสมัย โดดเด่น เช่น ธุรกิจเทคโนโลยี แบรนด์แฟชั่น

 

ประเภทที่ 3 Script 

เป็นฟอนต์ที่มีลักษณะประณีต และมีรายละเอียดมากว่าฟอนต์อื่น ๆ สื่อถึงความหรูหรา ซับซ้อน และมีระดับ ฟอนต์นี้ถูกพัฒนามาจากลายมือของคน จึงทำให้เข้าถึงความรู้สึกได้มากกว่า สามารถทำให้รู้สึกถึงความนุก ความแปลก หรือของเก่าก็ได้ เป็นฟอนต์ที่ไม่ทางการ รู้สึกถึงความมีอิสระ สนุกสนาน และมักพบในงานรูปแบบที่เน้นความหรูหรา สง่า ดึงดูดสายตา ไม่ควรนำไปใช้กับเนื้อหาข้อความ

อย่าใช้ฟอนต์ที่หลากหลายเกินไป

การเลือกใช้ฟอต์บนงานนนั้นต้องคำนึงถึงรุปแบบของฟอนต์ที่นำมาใช้อย่างมาก ควรแบ่งแยกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น

  • การพากหัวหลัก
  • การพาดหัวรอง
  • ข้อความเนื้อหา

 

Font Alignment คืออะไร?

เป็นการจัดตำแหน่งของฟอนต์ ว่าควรจะให้อยู่ในตำแหน่งไหน ชิดซ้าย ตรงกลาง เซนเตอร์ แนะนำให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการเลือกฟอนต์ ที่สามารถสื่อถึงความรู้สึกได้

จะเห็นได้ว่า การเลือกฟอนต์นั้นมีความสำคัญกับงานดีไซน์เป็นอย่างมาก มีข้อควรระวังมากมายสำหรับการใช้ฟอนต์ ไม่ว่าจะเป็น การที่นำฟอนต์หลากหลายประเภทมารวมกัน การจัดวางที่ไม่เป็นระเบียบ จะทำให้งานของคุณไม่สดุดตา ไม่น่าสนใจ เหล่าแบรนด์ดัง จึงเลือกใช้ฟอนต์ที่สื่อถึงสินค้าของแต่ละแบรนด์ งานแฟชัน จะให้ฟอนต์ที่สื่อถึงความสวยงาม น่าหลงใหล น่าอ่าน ไม่ใช่แค่งานดีไซน์ใหญ่ๆเท่านั้น งานภาพเช่น การทำโปเตอร์ ใบประกาศ ภาพหน้าปกต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เทคนิคในการเลือกฟอนต์เช่นกัน เพื่อความน่าสนใจ และความอ่านง่ายสำหรับผู้อ่านอีกด้วย

อ้างอิงhttps://www.mindphp.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/web-app-graphic/9600-font-selection-technique-to-suit-your-work.html

10 Tips On Typography in Web Design,[ออนไลน์],เข้าถึงได้จาก https://uxplanet.org/10-tips-on-typography-in-web-design-13a378f4aa0d

8 tips for using fonts by Yunuyei ,[ออนไลน์],เข้าถึงได้จาก https://tips.clip-studio.com/en-us/articles/2976

การจับคู่สี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีนั้น เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในงานออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกราฟิกลง facebook page ไปจนถึงการวาง CI หรือ corporate identity ให้กับองค์กร ก็ล้วนมีการใช้สีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น 

นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว แต่ละสีนั้นมีความหมายของตัวมันเองในเชิงจิตวิทยาที่สามารถสงผลต่อพฤติกรรมของผู้รับสารได้ เช่น สีเขียว และสีแดงที่ถูกใช้ในตลาดหุ้นเมื่อราคาหุ้นขึ้นหรือลง เพราะฉะนั้นนอกจากการเลือกสีให้สวยงามแล้ว นักออกแบบยังต้องคำนึงถึงเรื่องของการสื่อความหมายของแต่ละสีอีกด้วย ดังนั้นวันนี้ Foretoday จะมาแนะนำวิธิการจับคู่สีรูปแบบต่างๆ และความหมายของแต่ละสีในเชิงจิตวิทยา

 

ทฤษฎี และการจับคู่สี

 

  • Color wheel | วงล้อสี

ก่อนจะไปไหนไกล เรามารู้จักเครื่องมือที่สำคัญมาก ๆ อย่างวงล้อสีกันก่อน Isaac Newton ได้สร้างวงล้อสีจากการผสมแม่สี 3 สี หรือก็คือ Primary Colors สีที่เกิดจากการผสมแม่สีเข้าด้วยกัน เราเรียกว่า Secondary Colors และสีที่เกิดจากการผสมแม่สีและ Secondary Colors เข้าด้วยกัน เรียกว่า Tertiary Colors

 

  • Color harmony

ผ่านเรื่องวงล้อสีกันไปแล้วก็มาเข้าเรื่องการจับคู่สี หรือ Color Harmony กันดีกว่า! ในทฎษสีมีการจับคู่สีหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราเลือกรูปแบบที่จะได้ใช้บ่อย ๆ มาเล่าให้ฟังกัน!

 

  • Monochromatic

การใช้สีแบบ monochromatic คือการเลือกใช้สีเพียงสีเดียวในวงล้อสี แล้วปรับความเข้มและอ่อนของสีนั้น ๆ รูปแบบนี้สีจะตัดกันน้อย และดูเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

  • Analogous

รูปแบบนี้จะเลือกใช้สี 3 – 5 สีที่อยู่ติดกันในวงล้อสี เป็นรูปแบบที่ใช้ง่ายที่สุด เพราะสีจะไม่ตัดกันมากนัก ให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับ Monochromatic แต่ดูน่าสนใจมากกว่าด้วยการใช้สีที่แตกต่าง

 

  • Complementary

Complementary คือการจับคู่สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงล้อสี รูปแบบนี้จะเห็นสีตัดกันได้ชัดเจนที่สุด พบได้บ่อยในงานประเภท Pop Art เพราะทำให้งานดูเด่น อาจจะใช้งานยากกว่าสองรูปแบบก่อนหน้า ไปสักนิดเพราะเราต้องระวังความเข้มและสัดส่วนของทั้งสองสีให้ดี ไม่ให้ตัดกันจนเกินไป ใช้สีหนึ่งเป็นสีหลัก แล้วใช้สีคู่ตรงข้ามกับจุดที่ต้องการความโดดเด่น

 

 

  • Split-complementary

รูปแบบนี้คล้ายกับ Complementary แตกต่างกันเพียงแยกสีฝั่งหนึ่งออกเป็นสองสีที่ติดกัน Split-complementary จะให้คุณได้ลองใช้สีหลากหลายในทีเดียว ยิ่งเราเพิ่มสีลงในงานมากขึ้น การทำให้งานดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะยากขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้สี Analogous เป็นสีหลัก แล้วเพิ่ม Contrast (ความต่างของสี) ด้วยสีคู่ตรงข้าม

 

 

  • Triad

การใช้สีสามสีที่เชื่อมกันเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าในวงล้อสีเรียกว่า Triad รูปแบบนี้จะให้ความรู้สึกชัดเจนเป็นพิเศษ เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณอยากได้งานที่น่าสนใจและโดดเด่น อย่างไรก็ตาม ถ้าทั้งสามสีมีความเข้มและสัดส่วนเท่ากันหมด อาจแย่งกันเป็นจุดสนใจ ผู้เห็นก็ไม่รู้จะมองส่วนไหนก่อนดี ลองเลือกสีใดสีหนึ่งเป็นสีหลัก แล้วใช้อีกสองสีรองเป็นจุด ๆ ไป อาจเพิ่มสีขาวและสีดำเพื่อลดความสดของสี และทำให้งานดูสบายตาขึ้น

 

อ้างอิงจาก

https://www.foretoday.asia/articles/color-theory/

วิธีคำนวนภาษีป้าย

วิธีคำนวนภาษีป้าย เป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 ซึ่งได้กำหนดอัตราภาษีป้ายไว้ดังนี้

  • ป้ายประเภทที่ 1 ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน ให้คิดอัตราภาษีป้าย 3 บาท ต่อตารางเมตร
  • ป้ายประเภทที่ 2 ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ หรือปนกับภาพ และเครื่องหมายอื่น ให้คิดอัตราภาษีป้าย 20 บาท ต่อตารางเมตร
  • ป้ายประเภทที่ 3 ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยหรืออักษรต่างประเทศ แต่มีแต่ภาพและเครื่องหมายอื่น ให้คิดอัตราภาษีป้าย 50 บาท ต่อตารางเมตร

ภาษีป้าย เป็นภาษีท้องถิ่นที่เรียกเก็บจากป้ายโฆษณา ป้ายชื่อ ป้ายเลขที่ห้อง ป้ายชื่ออาคาร ป้ายประกาศ หรือป้ายอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งติดตั้งหรือแสดงไว้ที่อาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ใดๆ ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย

การคำนวณภาษีป้ายมีขั้นตอนดังนี้

  1. คำนวณพื้นที่ป้าย

พื้นที่ป้ายคำนวณจากขนาดของป้ายคูณด้วยจำนวนป้าย เช่น ป้ายขนาด 30 x 40 เซนติเมตร ติดตั้งจำนวน 2 ป้าย พื้นที่ป้ายเท่ากับ 30 x 40 x 2 = 2400 เซนติเมตร

  1. เลือกประเภทของป้าย

พิจารณาว่าป้ายนั้นจัดเป็นป้ายประเภทใด โดยพิจารณาจากลักษณะของป้าย เช่น ป้ายที่มีข้อความหรืออักษรไทยล้วน ป้ายที่มีข้อความหรืออักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ หรือปนกับภาพหรือเครื่องหมายอื่น

  1. คำนวณอัตราภาษีป้าย

เลือกอัตราภาษีป้ายตามประเภทของป้ายที่ได้พิจารณาในข้อ 2

  1. คำนวณภาษีป้าย

ภาษีป้าย = อัตราภาษีป้าย x พื้นที่ป้าย

ตัวอย่างการคำนวณภาษีป้าย

ป้ายขนาด 30 x 40 เซนติเมตร ติดตั้งจำนวน 2 ป้าย ป้ายมีข้อความหรืออักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ หรือปนกับภาพหรือเครื่องหมายอื่น อัตราภาษีป้าย 20 บาทต่อตารางเมตร

คำนวณพื้นที่ป้าย = 30 x 40 x 2 = 2400 เซนติเมตร

คำนวณภาษีป้าย = 20 x 2400 = 48000 บาท

หากมีป้าย 1 ป้าย ค่าภาษีป้ายที่ต้องชำระ = 40 บาท

การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีป้าย

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีป้ายภายใน 30 วัน นับแต่วันติดตั้งป้าย

แบบแสดงรายการและชำระภาษีป้ายสามารถยื่นได้ที่สำนักงานเขตหรือสำนักงานเทศบาล โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายต้องนำเอกสารประกอบการยื่นแบบดังนี้

  • แบบแสดงรายการและชำระภาษีป้าย (ภ.ป.1)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย
  • สำเนาทะเบียนบ้านของผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย
  • สำเนาใบอนุญาตก่อสร้างหรือใบอนุญาตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าติดตั้งป้าย

หากผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายไม่ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีป้ายภายในกำหนด จะต้องเสียเบี้ยปรับร้อยละ 10 ของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ และเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ ตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระจนกว่าจะชำระเสร็จ